กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… มีเจ้านกเอี้ยงอยู่ตัวหนึ่งมีนิสัยชอบอวดเก่ง และเห็นแก่ตัวมาก ไม่เคยยอมเสียเปรียบให้แก่สัตว์ตัวไหนและจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่ใคร ไม่ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเพื่อนสัตว์ด้วยกัน จนสัตว์แถวนั้นรู้จักนิสัยมันดี
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เจ้านกเอี้ยงกำลังตั้งหน้าตั้งตารีบบินไปที่นาข้าว ด้วยความเร่งรีบ มองไปเห็นหุ่นไล่กาเข้า มันตกใจรีบบินหนีทันที ทันใดนั้น มันก็บินไปชนกับควายเฒ่าตัวหนึ่งเข้าอย่างแรง ทำให้มันตกลงมาที่พื้นทันที “อุ้ยเจ็บจังเลย” นกเอี้ยงอุทานด้วยความเจ็บ
ควายเฒ่ากล่าวว่า “ท่านไม่เห็นข้าหรือไงข้ายืนอยู่ที่นี่นานแล้ว และเห็นเจ้ากำลังบินลงมาเพื่อขโมยข้าวกินอย่าปฏิเสธข้าเลย”
นกเอี้ยงตอบ “ข้าไม่ได้ขโมยสักหน่อย ท่านมีหลักฐานหรือถ้าไม่มีอย่ากล่าวหากันแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ”
ควายเฒ่าตอบกลับไปว่า ” ในเมื่อหลักฐานอยู่ต่อหน้าข้าแล้วจะให้เอามาอีกทำไมแต่ข้าว่าต่อให้มีหลักฐานเจ้าก็ไม่ยอมรับอยู่ดีเพราะเจ้ามีนิสัยเอาเปรียบผู้อื่นเสมอต่อให้ข้าหามาได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดกับ เจ้าให้เสียเวลาเปล่า” จากนั้นเจ้านกเอี้ยงบินจากไป
ควายเฒ่าก้มหน้ากินหญ้าต่อไม่สนใจเจ้านกเอี้ยง แต่ด้วยนิสัยของเจ้านกเอี้ยงที่ไม่ยอมใคร จึงย้อนกลับมาและกล่าวว่า “ข้ากลับมาคิดดูแล้วว่าถ้าข้าจะกินข้าวที่นามันจะเกิดอะไรขึ้นในเมื่อนาข้าวแปลงนี้ไม่ใช่ของเจ้า เจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะมาห้ามปากของข้าได้เพราะฉะนั้นเจ้านั่นล่ะที่ควรหลีกไปให้พ้น”
พอสิ้นเสียงเจ้านกเอี้ยง เสียงที่ตอบกลับมาหาใช่เสียงของเจ้าควายเฒ่า ไม่แต่กลับเป็นเสียงของชาวนา “ข้าว่าเจ้านั่นล่ะควรหลีกไปเพราะนาข้าวของข้า ไม่ต้องการนกเอี้ยงอย่างเจ้าหรอก ควายถึงจะชรามีอายุมากแล้วแต่ก็ยังช่วยดำนาได้ แต่เจ้านั่นแหละมีแต่มาลักขโมยกินข้าวเปลือกพวกข้าให้เสียหายมากกว่า ถ้าขืนชักช้า เจ้าต้องโดนแน่จะไปหรือไม่ไป” นกเอี้ยงรีบบินหนีทันทีไม่กล้ากลับมาอีกเลย …
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ” การเป็นคนอวดเก่ง ทำตัวเหนือใครๆ ไร้ซึ่งเหตุและผล ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ย่อมไม่มีใครเขาอยากคบหาสมาคมด้วย “