กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีลูกหนูจอมซุกซนตัวหนึ่ง มันชอบหนีออกไปเที่ยวนอกรังด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อมันกลับจากเที่ยวก็รีบมาเล่าเรื่องราวที่ได้ไปพบเห็นให้แม่หนูฟังด้วยความตื่นเต้น
“ แม่จ๋า ^ o ^ หนูไปพบกับสัตว์ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนตั้งสองตัวแหน่ะ ตัวหนึ่งมีรูปร่างหน้าตาน่ากลัวและชอบส่งเสียงดัง ส่วนสัตว์อีกตัวที่พบท่าทางใจดีและสุภาพ หนูเกือบจะได้เข้าไปคุยกับเขาแล้ว ถ้าเจ้าสัตว์ที่หน้าน่ากลัวตัวนั้น ไม่ส่งเสียงร้องจนหนูตกใจ เลยต้องรีบวิ่งหนีกลับมาหาแม่นี่แหละ ”
“ แล้วเจ้าสัตว์ที่เจ้าว่าหน้าตาน่ากลัวนั้นมีลักษณะอย่างไรหรือลูก ” แม่หนูถาม
“ โอ๊ย… ตัวมันสูงใหญ่มากเลยจ๊ะแม่ มีขาสองขา มีปีกเหมือนนก แต่ขนาดใหญ่กว่า ชอบกระพือปีกแล้วโก่งคอส่งเสียงเอก-อี-เอ๊ก-เอ๊ก บ่อย ๆ และที่ปากของเขานะแม่มันทั้งยาวทั้งแหลม ถ้าโดนมันจิกเข้า ลูกของแม่ต้องแย่แน่ ๆ เลย ” ลูกหนูเล่าเสียงเจื้อยแจ้วให้แม่ของมันฟัง
“ แล้วสัตว์อีกตัวที่ลูกบอกว่าท่าทางใจดีล่ะ มีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร ” แม่หนูถามต่อ
“อ้อ… เขาก็มีรูปร่างคล้ายกับเรานี่แหละแม่ แต่เขาตัวโตกว่าเรามากเลย มีหูแบบเรา มีขนเรียบเป็นมัน ที่ใต้จมูกก็มีขนคล้าย ๆ เรา ดูแล้วน่ารักมากเลยจ๊ะแม่ เขาชอบนั่งสงบนิ่งกวัดแกว่งหางไปมา นาน ๆ ก็จะร้องเหมียวๆ เขาคงเป็นสัตว์ที่ใจดีมากเลยนะจ๊ะแม่ ” ลูกหนูเล่าด้วยความชื่นชมสัตว์ตัวนั้น
ได้ยินดังนั้น แม่หนูก็ทำตาโต “ เจ้าเด็กน้อย เจ้าเข้าใจผิดแล้วล่ะลูก เพราะสัตว์ตัวนี้คือ แมว มันชอบกินพวกหนูอย่างเราที่สุดเลย ส่วนสัตว์ที่ลูกว่าท่าทางน่ากลัวนั้นคือ ไก่ ซึ่งไม่ทำอันตรายหนูอย่างพวกเราหรอกนะ จำไว้ให้ดีนะลูก เราไม่สามารถตัดสินอุปนิสัยใจคอของใครได้จากรูปร่างลักษณะภายนอกหรอกนะ แต่ต้องดูจากการกระทำ ”
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ อย่าตัดสินคุณค่าของใครโดยดูแต่เพียงลักษณะรูปลักษณ์ภายนอก ควรพิจารณาจากการกระทำและจิตใจภายใน ไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆ ”